ปรกติแล้ว แอดมินมักจะไปงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair เป็นประจำทุกปี (ไปมา 4-5 ปีได้แล้ว) ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นปีล่ะสองครั้ง ต้นปีครั้งนึงและปลายปีครั้งนึง สำหรับใครที่ไม่เคยไปงานนี้ก็ขอเล่าอย่างย่อ ๆ ว่ามันเป็นงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยเรา โดยในอดีตที่ผ่านมา งานจะถูกจัดโดยสมาคมอัญมณีและเครื่องประดับไทย แต่เพิ่งจะเมื่อปีก่อนนี้เอง (พ.ศ. 2560) ที่เจ้าภาพในการจัดงาน ถูกเปลี่ยนมาเป็นกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์แทน
และเหมือนทุก ๆ ครั้งผ่านมา แอดมินไปงานนี้ก็เพื่อจะไปวางคำสั่งซื้อ เพราะแอดมินทำร้านขายปลีกเครื่องประดับ ดังนั้น ก็ต้องไปเจอกับผู้ค้ารายเก่า ๆ ที่เคยติดต่อด้วย และหาโอกาสได้เจอผู้ค้ารายใหม่ที่เป็นช้างเผือกจะได้ติดต่อซื้อขายกันต่อไปในวันข้างหน้า
สำหรับรีวิวในครั้งนี้ แอดมินจะไม่เล่าละเอียดนัก หลายเรื่องจะเล่าย่อ ๆ และข้ามไป เพราะทำเหมือนกันทุกครั้งที่ไปงาน เช่น แอดมินไม่ได้ไปลงทะเบียนที่หน้างานเพราะมันช้า แต่ใช้วิธีลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์เพราะมันง่ายดี ไปถึงหน้างานก็แสดงตัวถ่ายรูปทำบัตร เอาบัตรมาคล้องคอ และเข้างานได้เลย ตอนผ่านประตูเข้างานก็ต้องถูกตรวจร่างกาย สแกนบัตรที่คล้องคอ ถ้าไม่มีอะไรเขาก็ปล่อยให้เข้าไป แต่ถ้ามีเดี๋ยวเขาก็จะล็อกตัวเอาไว้เอง มันเป็นเรื่องของความปลอดภัย ของในงานมูลค่ารวมกันเป็นหมื่นล้านบาท ต้องเซฟนิดนึง!!!
สำหรับงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 61 ซึ่งจัดผ่านไปแล้วเมื่อวันที่ 21-25 ก.พ. 2561 มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งสำหรับแอดมินนั่นก็คือ พื้นที่การจัดแสดงสินค้า
ในแต่ล่ะครั้งที่จัดงาน ผู้จัดงานมักจะจัดแบ่งพื้นที่แบบเดิม ๆ ซึ่งแอดมินก็ค่อนข้างคุ้นตาดี ได้แก่
1. พื้นที่เกียรติยศ หรือ Prestige เป็นพื้นที่แสดงสินค้าเครื่องประดับของแบรนด์ดังระดับประเทศและระดับโลก เช่น บิวตี้เจมส์ หรือ ดวงแก้ว เป็นต้น
2. พื้นที่เครื่องประดับประณีต หรือ Fine Jewelry ในบริเวณนี้จะเน้นเครื่องประดับที่มีความประณีตและสลับซับซ้อนสูง
3. พื้นที่เครื่องประดับทอง หรือ Gold Jewelry โดยในบริเวณนี้ผู้ประกอบการจะแสดงสินค้าเครื่องประดับทองล้วน ๆ แต่จะไม่ใช่ทองตู้แดง 96.5% นะ อันนั้นเป็นทองที่ร้านทองเยาวราช สำหรับในงานนี้จะเป็นทอง 18K กับทอง 90% มากกว่า
4. พื้นที่เครื่องประดับเงิน หรือ Silver Jewelry ก็จะแสดงสินค้าที่เป็นเครื่องประดับเงินชุบโรเดี้ยม
5. พื้นที่เพชร หรือ Diamond เป็นพื้นที่ ๆ แอดมินแวะเข้าไปบ่อยเหมือนกัน เพราะมีขายเพชรลดราคา น้ำ 98 ขึ้นไป ความสะอาดระดับ VVS อีกต่างหาก
6. พื้นที่พลอย หรือ Gemstone เป็นพื้นที่ ๆ กินบริเวณกว้างขวางที่สุดในงาน เน้นการขายพลอยทั้งเนื้อแข็ง เนื้ออ่อน โดยเฉพาะพลอยเนื้อแข็ง เช่น ทับทิมพม่าเผาเก่า ทับทิมโมซัมบิกไม่เผา แต่ล่ะเม็ดสวยมาก ตกกะรัตล่ะ 60,000 บาท
7. พื้นที่ไข่มุก หรือ Pearl เป็นพื้นที่ ๆ ค่อนข้างเล็ก แต่ไข่มุกที่เอามาจัดแสดงนี่ไม่ธรรมดา เป็นไข่มุกทะเลใต้ทั้งนั้น บางคู่ราคาสูงถึงแสนบาทเลยทีเดียว
8. พื้นที่สถาบัน หรือ Institute เป็นที่ตั้งของสถาบันตรวจสอบคุณภาพอัญมณี คือว่าใครที่ซื้อพลอยหรือเพชรแล้วไม่ชัวร์ ก็แวะเข้ามาตรวจเพื่อออกใบรับรองกันได้เลย
9. พื้นที่เครื่องมือ หรือ Equipment & Tools เป็นบริเวณของผู้ประกอบการที่ขายเครื่องมือตรวจวิเคราะห์อัญมณี หรือเครื่องมือสำหรับผลิตชิ้นงานเครื่องประดับในแบบต่าง ๆ รวมถึงเครื่องพิมพ์สามมิติสำหรับพิมพ์เทียนก็อยู่ในบริเวณนี้
นอกจากพื้นที่เดิม ๆ จำนวน 9 พื้นที่ ๆ แอดมินได้อธิบายในข้างต้นแล้วนั้น ยังมีพื้นที่พิเศษอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งผู้จัดงานได้จัดเพิ่มเติมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อต้นปีก่อน (ก.พ. 2560) นั่นคือ พื้นที่สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ หรือ New Face ซึ่งเปิดโอกาสให้แบรนด์เครื่องประดับหน้าใหม่ ได้มีโอกาสโชว์ผลงานให้ผู้เข้าชมงานได้เห็น
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ สิ่งที่แอดมินเริ่มจับสังเกตได้คือ การเติบโตขึ้นของพื้นที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ หรือ New Face ซึ่งแอดมินเองเคยเห็นพื้นที่นี้มาตั้งแต่การจัดงานต้นปีก่อนแล้ว โดยในต้นปีก่อนแอดมินเห็นว่าพื้นที่นี้เล็กมาก มีผู้ประกอบการเข้าร่วมน้อยมาก อีกทั้งยังเงียบเหงามาก เพราะมีจำนวนผู้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในพื้นที่นี้น้อย แต่พอมาปีนี้ครั้งนี้ แอดมินกลับเห็นพื้นที่ New Face ขยายตัวใหญ่ขึ้น มีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากขึ้น คึกคักมากขึ้น และมีผู้เข้าร่วมงานแวะเวียนมาพูดคุยกับผู้ประกอบการอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดสาย
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่อีกพื้นที่นึงที่น่าสนใจ นั่นคือ พื้นที่นานาชาติ หรือ International Pavilion ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับต่างชาติ ได้มาร่วมจัดแสดงสินค้าด้วย ซึ่งสำหรับครั้งนี้ก็มีหลายชาติเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นชาติในกลุ่มอาเซียน เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ เป็นต้น
เนื่องจากพื้นที่การจัดแสดงค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โตมาก เพราะจัดใน Impact Challenger Hall 1-3 ดังนั้น แอดมินเลยต้องกินอาหารให้อิ่มเป็นพิเศษ เพราะต้องใช้พลังงานเยอะมากในการเดินกับเดิน และต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นเพราะแอร์ใน Hall หนาวพอควร
แนะนำอย่างหนึ่งว่าถ้าไปงานนี้ ให้เดินไปกินอาหารที่ Impact Arena จะดีกว่า เพราะมีให้เลือกมากกว่า โดยให้เราผ่านเข้างานไปก่อน แล้วค่อยเดินผ่านทางเชื่อมไปทาง Impact Arena จะง่ายกว่าออกไปเดินนอกตึก ข้างนอกมันร้อน ไม่สะดวก!!!
โดยภาพรวมแล้ว แอดมินมองว่างาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ในครั้งนี้ ยังคงจัดได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม สมกับเป็นงานระดับชาติจริง ๆ
